6 steps ขายของออนไลน์ให้ปัง❗
6 steps ขายของออนไลน์ให้ปัง❗
ธุรกิจขายของออนไลน์ช่างหอมหวน ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร มีอาชีพหลักอยู่แล้ว หรืออยากทำเป็นอาชีพเสริม จะอยู่ในแวดวงไหนก็ตาม ต่างก็อยากมีโอกาสลองหาทุนทำธุรกิจค้าขายออนไลน์ให้ได้สักครั้ง เพราะต่างเห็นข้อดีของการขายที่แทบไม่ต้องเสียเงินลงทุน ไม่ต้องเสียค่าเช่าพื้นที่ตั้งของ ซื้อง่ายขายหมดเร็ว หรือจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม นาทีนี้เทรนด์ธุรกิจที่กำลังมาแรงคงหนีไม่พ้นการ ขายของออนไลน์แน่นอน โดยเฉพาะหลังจากผ่านช่วงวิกฤตโควิด-19 มีธุรกิจหลายเจ้าที่ผันตัวมาทำออนไลน์กันมากขึ้น
1. วางแผนการตลาด
แน่นอนว่าการจะทำธุรกิจ หากเราคิดปุ๊บ ทำปั๊บ ไม่มีการวางแผน ก็มีความเสี่ยงสูงที่ธุรกิจของเราจะไปไม่รอด เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่เราควรจะทำก็คือ “การวางแผน”
👉🏻ชื่อร้าน / แบรนด์
การตั้งชื่อร้านค้า หรือแบรนด์ ควรใช้ชื่อที่กระชับ จดจำได้ง่าย เป็นเอกลักษณ์ และไม่ซ้ำกับคนอื่น วิธีการตรวจสอบชื่อแบรนด์ว่าซ้ำกับคนอื่นหรือไม่ เราอาจนำชื่อที่คิดได้มาลองค้นหาบน Google Search, Facebook หรือ Instragram ดูก่อนก็ได้ว่า มีใครตั้งชื่อเพจ ร้านค้า และเว็บไซต์นี้แล้วหรือยัง
👉🏻ค้นหากลุ่มลูกค้าที่ใช่
การขายของออนไลน์ หากเรารู้จักกลุ่มเป้าหมาย หรือรู้ว่าลูกค้าของเราเป็นใคร จะช่วยให้เราสามารถทำการตลาดออนไลน์ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งในด้านของการทำคอนเทนต์ ทำโฆษณา รวมถึงแนวทางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการให้บริการ โดยสิ่งที่คุณต้องค้นหาก็คือ
- ลูกค้าของเราเป็นใคร : เพศ อายุ การศึกษา อาชีพ
- ลูกค้าของเราอยู่ที่ไหน : ประเทศ จังหวัด หรือพื้นที่ ที่มีความเฉพาะเจาะจง
- ลูกค้าของเรามีพฤติกรรมแบบไหน กำลังสนใจเรื่องอะไรอยู่
คุณอาจเคยเห็นคอนเทนต์บน Facebook แล้วรู้สึกว่าคำมันโดน สินค้าชิ้นนี้ ตรงกับที่เรากำลังสนใจอยู่ ร้านนี้อยู่ไม่ไกลด้วย นั่นเพราะว่าเขาค้นหาคุณเจอแล้วนั่นเอง
👉🏻ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน วัดผลได้
หลายคนมีความคิดที่จะเริ่มต้นทำธุรกิจออนไลน์เพราะคิดว่ามันดูง่าย ใครๆ ก็ทำกัน แต่ความจริงถ้าคุณแค่ทำตามคนอื่น ไม่มีการตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน ก็มักจะเริ่มท้อ ขี้เกียจ และล้มเลิกไป สำหรับการขายของออนไลน์ คุณอาจจะเริ่มตั้งเป้าหมายจากง่ายๆ ก่อนก็ได้เช่น
- มีจำนวนการสั่งซื้อ 10 ออเดอร์ ต่อวัน หรือ 30 ออเดอร์ต่อเดือน
- มียอดขาย 50,000 บาท ต่อเดือน
- มีคนติดตาม Facebook 10,000 คน (ที่เป็นคนจริงๆ ไม่ใช่การซื้อ Like)
- มีคนเข้ามาดูเว็บไซต์ 10,000 คนต่อเดือน
เมื่อธุรกิจของคุณมีเป้าหมายชัดเจนแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือ การหาเส้นทางเพื่อที่จะไปถึงเป้าหมายนั้น
2. เลือกช่องทางโปรโมทสินค้า
เมื่อเราได้ชื่อแบรนด์ และรู้แล้วว่าลูกค้าของเราคือใคร สเต็ปถัดไปคือการเลือกช่องทางการขายสินค้า ซึ่งความจริงแล้วเราไม่จำเป็นต้องเลือกว่าจะขายเฉพาะช่องทางไหน เพราะแต่ละช่องทางก็มีจุดเด่นแตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น
👉🏻Social Media
Facebook และ Instagram คนที่คิดจะขายของออนไลน์ต้องมีช่องทางนี้อยู่ในหัวด้วยอย่างแน่นอน โดยจุดเด่นของ Social Media จะอยู่ที่การเข้าถึงลูกค้าได้ง่าย สามารถพูดคุย จัดกิจกรรม และมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าได้ดี ช่วยสร้างภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์
ร้านค้าที่ขายของผ่าน Facebook ไม่จำเป็นต้องแข่งขันในเรื่องของราคา แถมยังสามารถเพิ่มมูลค่าของสินค้าได้ด้วยผ่านการทำคอนเทนต์ที่ดี สำหรับร้านค้าที่พึ่งเปิดเพจใหม่ๆ อาจช่วยให้คนรอบตัวกด Like เพจ หรือช่วยกันแชร์ให้ร้านค้าเป็นที่รู้จักได้ หากมีต้นทุนก็สามารถลงโฆษณาเพื่อโปรโมทร้านค้าได้เช่นกัน
👉🏻Marketplace
หรือที่เรารู้จักกันชื่อของ Shopee หรือ LAZADA เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ให้เราสามารถเข้าไปสร้างโปรไฟล์ร้านค้า และนำสินค้าไปลงขายได้ เป็นช่องทางที่นักช้อปมากมายเข้ามาค้นหาสินค้าที่ตัวเองต้องการ และเปรียบเทียบราคาจากหลายๆร้านก่อนซื้อ ทำให้ Marketplace มีการแข่งขันเรื่องราคาค่อนข้างมาก
แต่พฤติกรรมของนักช้อปก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน นอกจากการเปรียบเทียบราคา ยังมีการหาข้อมูลรีวิว เพื่อเปรียบเทียบเพิ่มเติมอีกด้วย ร้านไหนที่มีรีวิวเยอะ และดี ก็สามารถสร้างรายได้จากตรงนี้ได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับร้านค้าที่พึ่งเข้ามาใหม่ รีวิวยังไม่ค่อยมี หากขายสินค้าเหมือนกับร้านอื่นๆ ก็ยังต้องแข่งในเรื่องของราคา ทำให้ร้านค้าอาจจะต้องหาช่องทางอื่นๆ มาช่วยโปรโมทในช่วงแรกอีกด้วย
👉🏻Website
หากร้านค้าของคุณมีเว็บไซต์ด้วย ก็จะช่วยให้ร้านสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มาจาก Google Search ได้ ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้จะมีคุณภาพค่อนข้างมากเพราะคนที่ค้นหาข้อมูล หรือสินค้าบางอย่างบน Google โดยส่วนใหญ่จะมีความต้องการสินค้านั้นอยู่แล้ว
ยิ่งถ้าเราสามารถทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับในหน้าแรกของ Google ได้ ร้านค้าของคุณก็จะมีคนเข้ามาซื้อสินค้าอย่างต่อเนื่อง และระยะยาว
นอกจากนี้เว็บไซต์ยังช่วยต่อยอดการตลาดออนไลน์ในช่องทางอื่นๆ ได้อีกมากเลย ยกตัวอย่างเช่น การเก็บข้อมูลของคนที่เข้ามาดูเว็บไซต์เพื่อนำไปกำหนดกลุ่มเป้าหมาย สำหรับการทำโฆษณาในช่องทางอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram หรือ Google Ads
คุณอาจจะเคยเห็นโฆษณาสินค้า จากเว็บไซต์ที่คุณพึ่งเข้าไปดูมา อยู่บน Facebook นี่ก็เป็นอีกรูปแบบของการตลาดออนไลน์ที่ร้านของคุณสามารถทำได้หากมีเว็บไซต์ การทำเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์จะนิยมอยู่ 2 ประเภทคือ จ้างทำด้วย WordPress และการใช้เว็บไซต์ สำเร็จรูป
👉🏻LINE Official Account
จริงๆ แล้ว LINE OA นับว่าเป็น Social Media อีกช่องทางหนึ่ง แต่ที่ผมแยกมันออกมาเพราะว่า เราใช้มันโดยวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันออกไป เราไม่ได้ใช้เพื่อโปรโมท แต่เราใช้ LINE OA เพื่อพูดคุยให้ข้อมูลกับลูกค้าโดยเฉพาะ
หลายคนอาจจะคิดว่าแล้วทำไมไม่ใช้ Facebook Messenger ล่ะ ก็ไม่ผิดแต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาพบว่า ลูกค้าที่แอด LINE OA เพื่อเข้ามาสอบถามหรือสั่งซื้อสินค้า มีโอกาสปิดการขายได้มากกว่า Facebook Messenger ถึง 70% และตอนนี้เราก็สามารถลงสินค้าผ่าน LINE My Shop ได้อีกด้วย เมื่อลูกค้าสนใจสินค้าเราสามารถส่งลิงก์นี้ให้ลูกค้ากดซื้อ และชำระเงินได้ทันที
3. เลือกช่องทางการชำระเงิน
สิ่งสำคัญที่ร้านค้าออนไลน์จะขาดไปไม่ได้เลยคือ ช่องทางการรับชำระเงินออนไลน์ ร้านค้าออนไลน์หลายแบรนด์อาจเริ่มต้นจากการจากใช้บัญชีธนาคารในการรับเงิน แต่ถ้าจะให้ดี หากร้านค้าสามารถรับชำระเงินออนไลน์ด้วยบัตรเครดิตได้ ร้านของคุณจะมีโอกาสปิดการขาดเพิ่มขึ้นอีก 30% เลยทีเดียว
การรับชำระด้วยบัตรเครดิตนั้นสามารถทำได้โดยใช้บริการ Payment Gateway ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
- ของธนาคาร : K-Payment Gateway ของธนาคารกสิกร
- ไม่ใช่ของธนาคาร : Paypal, GB Prime Pay
แน่นอนว่าหลายคนพอเห็นว่ามีการเก็บค่าธรรมเนียมด้วยเลยไม่อยากใช้งาน แต่ผมแนะนำว่า ควรใช้ครับ เพราะสิ่งที่คุณจะได้กลับมาคือ โอกาสปิดการขาย และจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้น
4. วัดผลลัพธ์การตลาดออนไลน์
ไม่ใช่แค่การขายของออนไลน์ แต่การทำธุรกิจทุกประเภทหากต้องการให้ประสบความสำเร็จ คุณต้องรู้จักการวัดผลลัพธ์ด้วย เพื่อให้เรารู้ว่าเป้าหมายที่เราวางเอาไว้ตั้งแต่ต้นนั้น เราทำสำเร็จ หรือใกล้เคียงกับเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่ ตัวอย่างเช่น
- เป้าหมายคือ มีคนเข้ามาดูเว็บไซต์ 5,000 คนต่อเดือน
- ผลลัพธ์คือ เดือนที่แล้วมีคนเข้ามาดู 50 คน
- แนวทางการปรับปรุง ลองเขียนคอนเทนต์ที่น่าสนใจ โดยใช้ Keyword ที่มีปริมาณการค้นหา หรือ โฟกัสที่การทำ SEO ให้มากขึ้น
การวัดผลลัพธ์นั้นช่วยให้เรารู้ว่าจุดไหนบ้างที่เราควรปรับปรุง เพื่อที่จะทำให้เราไปถึงเป้าหมายนั้นให้ได้
แต่ถ้าผลลัพธ์ที่คุณได้ตรงตามเป้าหมายที่วางไว้ สิ่งที่คุณต้องทำต่อไปก็คือ ตั้งเป้าหมายให้สูงขึ้น เพื่อธุรกิจของคุณโตขึ้นไปตามเป้าหมายที่คุณตั้งไว้
5. มีหลากหลายช่องทางการขาย
ต้องบอกเลยว่าช่องทางการขายสินค้า (Channel) ของคุณจะขึ้นอยู่กับงบประมาณที่คุณมี ถ้าต้องการมีให้ครบวงจรเลย ควรเริ่มต้นจากมีเว็บไซต์เป็นเหมือนหน้าร้าน แล้วจึงมีช่องทางโซเชียลมีเดีย เช่น ไลน์ เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม เพื่อซัพพอร์ต ในขณะที่หลายคนอาจจะเลือกโฟกัสหรือขายของในช่องทางใดช่องทางหนึ่งเท่านั้นก็ได้ ซึ่งแต่ละช่องทางก็จะมีการเซตทาร์เก็ตที่แตกต่างกันไป เหมาะกับผู้ขายของออนไลน์ที่ทำคนเดียว เพราะจะสะดวกในการบริหารจัดการ โดยที่ช่องทางการขายมีดังนี้
👉🏻Facebook ช่องทางนี้ถือว่าได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะมีผู้ใช้งานมากที่สุด กลุ่มลูกค้าจะมีวงกว้างและมีปริมาณมาก ง่ายต่อการทำการตลาดผ่าน Facebook Ads มีเงินตั้งต้นเพียง 100 บาท คุณก็สามารถ Boost Post หรือซื้อ Page Like AD ได้แล้ว ทำให้ลูกค้ารู้จักเรามากขึ้นด้วย ขั้นตอนก็ง่ายแสนง่าย ซื้อแอดได้ด้วยตัวเองผ่านโทรศัพท์มือถือ โดยการตั้งกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่คุณต้องการ เลือกเวลา และใส่จำนวนเงิน โดย Facebook จะหักเงินค่าโฆษณาจากบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตที่คุณลงทะเบียนไว้ นอกจากนี้ยังมีเทคนิคการขายหลายแบบที่สามารถนำไปใช้เพิ่มยอดขายได้ เช่น การ Live ขายสินค้า หรือเพิ่มความน่าสนใจให้กับสินค้าด้วยการเขียนแคปชั่นที่สื่อสารได้ชัดเจน กระชับ โดนใจ และเป็นคำที่อยู่ในกระแส เป็นต้น
ตัวอย่างการขายของออนไลน์ผ่านช่องทางเฟสบุ๊คที่ประสบความสำเร็จ คือ ร้านอาหารตากแห้ง จ. สตูล ของบังฮาซัน ซึ่งเกาะกระแส Live สดขายของจนฮิตและมียอดขายถล่มทลายชั่วข้ามคืน เรียกได้ว่า บังฮาซัน เป็น 1 ในสุดยอดเป็นพ่อค้ายุค 4.0 ที่ช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชน ด้วยการนำอาหารทะเลตากแห้งมาขาย ซึ่งเทคนิคของเขาก็คือ การสร้างสตอรี่ให้ทั้งกับตัวสินค้า และตัวของเขาเอง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า นอกจากสตอรี่แล้ว ยังมีเรื่องเทคนิคการขาย โดยบังฮาซันจะไลฟ์ขายของออนไลน์ทุกวันด้วยสำเนียงที่เป็นเอกลักษณ์ จนมีคนแชร์วิดีโอในเฟสบุ๊คต่อจนเกิดเป็นไวรัลขึ้นมา
จากกรณีศึกษา ของ "บังฮาซัน" จะเห็นว่า การสร้างคาแรคเตอร์ให้เพจของตัวเองเป็นที่จดจำ เป็นสิ่งที่เพจ ร้านอาหารทะเลตากแห้ง จ. สตูล นำมาใช้ ผ่านการ Live ขายของออนไลน์แบบเรียบง่าย แต่มีสคริปต์ที่ชัดเจน เพื่อให้แฟนเพจเข้าถึงได้ ถ่ายทำจากกล้องมือถือธรรมดานี่เอง แต่สร้างจุดแข็งให้กับสินค้าแบบรู้จริง เช่น ขายอาหารทะเลแห้ง ก็ต้องทราบทุกขั้นตอนการผลิต เพื่อสามารถตอบคำถามลูกค้าได้ และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์นั่นเอง แน่นอนว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะประสบความสำเร็จชั่วข้ามคืนแบบบังฮาซัน คุณต้องอาศัยความอดทน ลองผิดลองถูก และจริงใจกับลูกค้า หากทำได้ หนทางแห่งความสำเร็จก็ไม่ไกลเกินเอื้อมครับ
👉🏻Instagram ยังคงเป็นช่องทางที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยอินสตาแกรมเน้นกลุ่มคนฮิป ๆ ที่ถ่ายรูปต้องสวย แฮชแท็กต้องมี ฉะนั้นถ้าคุณเลือกช่องทางนี้เพื่อขายสินค้า ควรต้องมีทักษะการถ่ายภาพในระดับหนึ่ง และควรมี Follower อยู่จำนวนหนึ่ง บางคนประสบความสำเร็จจากการขายของในอินสตาแกรม จนต่อยอดไปมีหน้าร้านรับลูกค้าเลยก็มีให้เห็นเยอะทีเดียว
👉🏻Line ร้านค้าออนไลน์ส่วนใหญ่นิยมมี Line@ ไว้สนทนาซื้อขายสินค้ากับลูกค้าแบบตัวต่อตัว เพราะมีความเป็นส่วนตัวและสะดวกในการคุยตอบคำถามเรื่องสินค้า ช่วงเริ่มต้นคุณอาจเลือกใช้แบบฟรี ที่สามารถตอบข้อความได้ 1,000 ข้อความ แล้วค่อยขยับเป็นแพ็คเกจ Starter ที่มีผู้ติดตามได้ถึง 200 คน ราคาต่อเดือนอยู่ที่เดือนละ 200 บาท เป็นต้น โดยคุณสามารถโพสต์สินค้าได้ในหน้า Timeline
👉🏻Twitter ในสมัยก่อนเป็นช่องทางของวัยใส สายเกาหลีโดยเฉพาะ ช่องทางโซเชียลขายของออนไลน์ช่องทางใหม่นี้ มักเน้นไปที่สายติ่งเกาหลีจ๋า แต่ทราบไหมว่า ปัจจุบันมีผู้หันมาเล่นทวิตเตอร์เพิ่มมากขึ้น และมีหลากหลายกลุ่ม หลากหลายช่วงวัย ไม่จำกัดเพียงแฟนคลับของดารานักร้องเท่านั้น การซื้อขายผ่านทวิตเตอร์นั้นเกิดขึ้นเร็วมาก ไม่ว่าจะเป็นสินค้าเกี่ยวกับกลุ่มศิลปิน หรือแม้กระทั่งเครื่องสำอางและของน่ารัก ๆ ไปจนถึงการส่งต่อของมือสองก็เป็นที่ต้องการสูงมากในช่องทางนี้ หากคุณต้องการขายของออนไลน์ผ่านทวิตเตอร์ ข้อความของคุณต้องสั้นและกระชับมาก รู้จักติดแฮชแท็ก บอกรายละเอียดการชำระเงินและการติดต่อให้ครบถ้วน และส่วนใหญ่จะไปจบการขายที่ Direct Message หรือ Line
6. พร้อมอุทิศเวลาให้ลูกค้า
ขึ้นชื่อว่าขายของแล้วละก็ สิ่งสำคัญเลยที่คุณควรต้องมีคือ Service Mind นั่นหมายความว่า คุณควรพร้อมขายตลอดเวลา ขยันตอบคอมเมนต์ ขยันลงรีวิวสินค้า เมื่อคิดจะขายของออนไลน์แล้วจะคิดว่าเราทำงานแค่วันละ 8 ชั่วโมง เข้า 9 โมงเลิก 6 โมงเหมือนงานออฟฟิศไม่ได้ ลูกค้าส่วนใหญ่อาจมาตอนดึกหลัง 6 โมงไปแล้ว เพราะเป็นเวลาที่เขาสะดวกหลังเลิกงาน แต่คุณก็ควรมีกำหนดเวลาในการตอบด้วยเช่นกัน เช่น ตอบไม่เกินสี่ทุ่ม เริ่มตอบตั้งแต่ 8 โมงเช้าเป็นต้น หรือตอบเกินเวลาในกรณีฉุกเฉินจริง ๆ เพื่อให้เราเองได้มีเวลาพักผ่อน และเป็นการกำหนดเวลาให้ลูกค้าไปในตัว
-----------------------------------------------------------------------------------
สนใจบริการดูแลการตลาดออนไลน์ | ทำการตลาดออนไลน์ | ทำกราฟฟิคครบวงจร | สามารถติดต่อเราได้ตลอด | รับสร้างแบรนด์ | รับทำการตลาดออนไลน์ | รับทำแผนการตลาดออนไลน์ | รับสร้างแบรนด์ | รับดูแล Facebook แฟนเพจ | รับดูแล LINE OA สามารถติดต่อเราได้ตลอด 24 ชั่วโมง
รายละเอียดบริการดูแลการตลาดออนไลน์
ตัวอย่าง ผลงานแบรนด์ต่างๆ ที่เราดูแลการตลาดออนไลน์ให้
------------------------------------------------------------------------------------
💙ปรึกษาทีมงานของเรา💙
📱Tel : 0840104252 📱0947805680
สายด่วนออฟฟิศ : 034-900-165 , 02-297-0811 (จันทร์-ศุกร์)
📨 Inbox : http://m.me/ChatStick.TH
┏━━━━━━━━━┓
📲 LINE: @chatstick
┗━━━━━━━━━┛
หรือคลิ๊ก https://goo.gl/KuzCpM
🎉รายละเอียดที่ http://www.chatstickmarket.com/langran
🎉ชมผลงานเราได้ที่ https://www.chatstickmarket.com/portfolio
Comments