รู้ยัง❓คำศัพท์พื้นฐานที่ควรรู้ นิยมใช้ก่อนลงโฆษณาออนไลน์ Facebook Ads
รู้ยัง❓คำศัพท์พื้นฐานที่ควรรู้ นิยมใช้ก่อนลงโฆษณาออนไลน์ Facebook Ads
การ ยิงแอด หรือการทำ โฆษณาเฟซบุ๊ก (Facebook Ads) เราทุกคนสามารถทำได้ด้วยตนเอง ยิ่งในยุคนี้มีผู้ประกอบการหลายคนหันมาเปิดเพจเฟซบุ๊กเพื่อหวังว่าอยากให้ธุรกิจของตัวเองเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากขึ้น จึงทำให้การทำโฆษณาบนเฟซบุ๊กเป็นเรื่องที่ใคร ๆ ต่างต้องการศึกษาและลงมือทำด้วยตนเอง
ถ้าอยากทำโฆษณาบนเฟซบุ๊กและสามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้ด้วยตนเอง ก่อนอื่นเราต้องศึกษาความหมายของคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับการทำโฆษณาบนเฟซบุ๊ก หรือ Facebook Ads กันก่อน เพื่อที่เราจะได้วัดผลการทำโฆษณาเพื่อปรับปรุงโฆษณาให้ดีขึ้นต่อไป ถ้าใครได้เข้าใจความหมายของคำศัพท์ หรือ Technical Term สำหรับ Facebook Ads แล้ว เราจะสามารถวิเคราะห์ตัวเลขหรือวัดผลลัพธ์ของการทำโฆษณาได้อย่างแน่นอน
🔹คำศัพท์พื้นฐานของ Facebook Ads ที่คนทำโฆษณาต้องรู้ ดังนี้
1.Engagement (การมีส่วนร่วม หรือการมีปฏิสัมพันธ์)
เป็นจำนวนของคนที่เข้ามามีส่วนร่วมกับโฆษณาของเรา ไม่ว่าจะเป็นการ Clicks ต่าง ๆ เช่น Like, Share, Comment โดยการกระทำทั้งหมดนี้จะถูกนับรวมให้เป็นจำนวนตัวเลขของ Engagement
2.Reach (จำนวนคนที่เห็นโฆษณา)
เมื่อโฆษณาของเราไปปรากฏให้ใครสักคนเห็น จะถูกนับเป็น 1 Reach ต่อให้คน ๆ นั้น เห็นโฆษณาของเราอีก 10 ครั้ง ก็จะถูกนับแค่ 1 Reach เท่านั้น สรุปได้ว่าจำนวน Reach จะถูกนับเป็นจำนวนรายบุคคลที่เห็นโฆษณาของเรา
Reach แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
- Paid Reach เป็นจำนวนบุคคลที่เห็นโฆษณาของเราจากการใช้เงินทำโฆษณา ซึ่งส่วนใหญ่คนที่อยู่ในกลุ่ม Paid Reach นั้น จะเป็นกลุ่มเป้าหมาย (Target) ที่เราได้กำหนดไว้แล้วว่าอยากให้โฆษณาของเราไปปรากฏให้เขาเห็น
- Organic Reach เป็นจำนวนบุคคลที่เห็นโฆษณาของเราโดยธรรมชาติที่ไม่ได้มาจากการใช้เงินทำโฆษณา เช่น คนที่ติดตามเพจของเราอยู่แล้ว และเขาเห็นโพสต์ของเรา หรือคนที่เห็นโฆษณาของเราจากการแชร์ของเพื่อน เป็นต้น
3.Impression (จำนวนครั้งที่คนเห็นโฆษณา)
จำนวนครั้งที่คนหนึ่งคนเห็นโฆษณาของเรา เช่น นาย A เห็นโฆษณาของเรา 10 ครั้ง จะถูกนับเป็น 10 Impression ซึ่งจะนับไม่เหมือนจำนวน Reach ที่นับเป็นจำนวนบุคคลที่เห็นโฆษณา เช่น ต่อให้นาย A เห็นโฆษณาของเรา 10 ครั้ง ก็จะถูกนับแค่ 1 Reach เท่านั้น
4.Clicks (จำนวนการคลิกต่าง ๆ บนโฆษณา)
การมีคนมาคลิกที่โฆษณาของเรา ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่โฆษณาของเราสามารถจูงใจให้เขามากดคลิกได้ ซึ่งดีกว่าการที่เขาเห็นโฆษณาแล้วเลื่อนผ่านไปเฉย ๆ แบบนั้นจะถูกนับแค่ Reach กับ Impression
แล้วจำนวนการคลิกจะถูกนับจากอะไร เช่น การคลิกดูรูปภาพ, คลิก Read more... อ่านแคปชั่น, คลิกลิงก์ที่แนบมากับแคปชั่น หรือคลิก Like, Share, comment ต่าง ๆ เป็นต้น
5.CTR (ผลลัพธ์ที่แสดงให้เห็นว่าโฆษณาของเรามีประสิทธิภาพหรือไม่)
CTR คือ Click Through Rate ที่นำจำนวน Total Clicks มาหารกับจำนวน Total Impression ยิ่งค่าของ CRT เยอะ ยิ่งแสดงให้เห็นว่าโฆษณาของเรามีประสิทธิภาพที่สามารถจูงใจให้คนมาคลิกหรือมีส่วนร่วมได้ เราสามารถวัด Engagement ได้จากค่าของ CTR
เข้าสูตร
Total Clicks / Total Impression = Click Through Rate
4,500 / 10,000 = 0.45 (45%)
หมายความว่ามีคนคลิก 45% จากจำนวนโฆษณาทั้งหมดที่แสดง
6.Frequency (ค่าเฉลี่ยของจำนวนคนที่เห็นโฆษณาชิ้นนั้น)
โดยนำ Impressions หารด้วย Reach ก็จะได้ค่าเฉลี่ยของคนที่เห็นโฆษณาว่าคนหนึ่งคนเห็นโฆษณาของเราเฉลี่ยกี่ครั้ง ซึ่งโดยส่วนมาก Impression จะมีจำนวนที่มากกว่า Reach
เข้าสูตร
Impression / Reach = Frequency
10,000 / 5,550 = 1.80
หมายความว่า คนหนึ่งคนเห็นโฆษณาของเราเฉลี่ย 1.8 ครั้ง/คน
7.Result Rate (ต้นทุนต่อผลลัพธ์)
คือต้นทุนต่อคนที่เข้ามามีส่วนร่วมกับโฆษณาของเรา เช่น งบประมาณโฆษณา 300 บาท มีจำนวน Engagement (Like, Share, Comment, View (VDO) ทั้งหมด 733
เข้าสูตร
Cost (งบประมาณ) / Engagement (จำนวนการมีส่วนร่วมกับโพสต์) = Result Rate (ต้นทุนต่อผลลัพธ์)
300 / 733 = 0.41
หมายความว่าต้นทุนต่อผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น เท่ากับ 0.41 บาท / ผลลัพธ์ หรือ 41 สตางค์ (แนะนำว่าอย่าให้ต้นทุนต่อผลลัพธ์เกิน 0.50 หรือมากกว่านั้น ยิ่งต้นทุนต่อผลลัพธ์น้อยเท่าไรยิ่งดี)
8. Link Click
คือ จำนวนการคลิกลิงก์โฆษณา ซึ่งเป็นลิงก์ที่เราเลือกไปวางบนโพสต์ที่มีรูปแบบโฆษณาเป็น Link Ads (โฆษณาแบบลิงก์) จุดประสงค์คือเพื่อต้องการนำคนจาก Facebook ไปยังเว็บไซต์ที่เราต้องการ
9. Video View
จำนวนการรับชมวิดีโอของโฆษณานั้นๆ สามารถดูการวัดผลโฆษณาประเภทวิดีโอ ได้ทั้ง 2 วินาที , 3 วินาที และ 10 วินาที ทั้งนี้การประเมินผลการรับชมวิดีโอนั้น ยังมีวิธีการวัดผลอีกมาก
10. Relevance Score
พูดภาษาง่ายๆคือ คะแนนที่ Facebook กำหนดขึ้นมาเพื่อบอกว่าผู้คนให้ความสนใจกับโฆษณาของเรามากแค่ไหน มีค่าตั้งแต่ 0-10 ยิ่งคะแนนสูงแปลว่ายิ่งดี
11. Cost per Click (CPC)
CPC คือ การคิดจากทุกคลิกที่เกิดขึ้นบนโฆษณา มี 2 มุมมองคือ
- CPC (All Clicks) คือการคิดจากทุกคลิกที่เกิดขึ้นบนโฆษณา วิธีคำนวณคือ งบประมาณที่ใช้ / All Clicks = CPC (All)
- CPC (Cost Per Link Click) การคำนวณราคาการคลิกจากการกดลิงก์เท่านั้น วิธีคำนวณคือ CPC = งบประมาณที่ใช้ไป / จำนวนลิงก์คลิก
ตัวอย่าง : โฆษณาใช้งบประมาณไป 800 บาท มีจำนวนคลิกที่ 300 คลิก CPC จะเท่ากับ 800/300 = 2.6 บาท
12. Cost per 1,000 Impressions (CPM)
คือ การคิดค่าใช้จ่ายเฉลี่ยสำหรับการแสดงผล 1,000 ครั้ง มีวิธีการคิดง่ายๆคือ CPM = (งบประมาณที่ใช้ไป / จำนวนครั้งในการปล่อยโฆษณา(Impression))x1,000
ตัวอย่าง : โฆษณาใช้งบประมาณไป 800 บาท โฆษณาถูกปล่อยไปทั้งหมด 32,000 ครั้ง CPM จะเท่ากับ (800/32,000)x1,000 = 25 บาท
13. Cost per Result
ต้นทุนต่อผลลัพธ์ที่บ่งชี้ว่า เป้าหมายที่ตั้งไว้ในแคมเปญโฆษณาของคุณนั้นทำได้ดีเพียงใด คุณสามารถใช้เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพระหว่างแคมเปญต่างๆ ก็ได้
ราคาผลลัพธ์นี้อาจได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย เช่น ประเภทการประมูลโฆษณา. การเลือกกลุ่มเป้าหมาย. หน้าตาของโพสต์ที่ได้ทำการโฆษณา. วิธีการ optimise เป็นต้น
Cost per Result = งบประมาณที่ใช้ไป / จำนวน Results ที่ได้
-----------------------------------------------------------------------------------
สนใจบริการดูแลการตลาดออนไลน์ | ทำการตลาดออนไลน์ | ทำกราฟฟิคครบวงจร | สามารถติดต่อเราได้ตลอด | รับสร้างแบรนด์ | รับทำการตลาดออนไลน์ | รับทำแผนการตลาดออนไลน์ | รับสร้างแบรนด์ | รับดูแล Facebook แฟนเพจ | รับดูแล LINE OA สามารถติดต่อเราได้ตลอด 24 ชั่วโมง
รายละเอียดบริการดูแลการตลาดออนไลน์
ตัวอย่าง ผลงานแบรนด์ต่างๆ ที่เราดูแลการตลาดออนไลน์ให้
------------------------------------------------------------------------------------
💙ปรึกษาทีมงานของเรา💙
📱Tel : 0840104252 📱0947805680
สายด่วนออฟฟิศ : 034-900-165 , 02-297-0811 (จันทร์-ศุกร์)
📨 Inbox : http://m.me/ChatStick.TH
┏━━━━━━━━━┓
📲 LINE: @chatstick
┗━━━━━━━━━┛
หรือคลิ๊ก https://goo.gl/KuzCpM
🎉รายละเอียดที่ http://www.chatstickmarket.com/langran
🎉ชมผลงานเราได้ที่ https://www.chatstickmarket.com/portfolio
Comments