เลือกใช้ "Stop Loss" ให้เหมาะกับการลงทุน

เลือกใช้ "Stop Loss" ให้เหมาะกับการลงทุน

ผลขาดทุน คือ ต้นทุนที่ต้องจ่าย การหยุดขาดทุนให้เป็น เพื่อทำให้ต้นทุนเราต่ำที่สุด เพราะฉะนั้น ควรกลัวการขาดทุนหนักมากกว่าการขาดทุน

การวางจุด Stop Loss ทั้ง 5 แบบ

- Fixed Stop

การกำหนดจุด Stop Loss เป็น X% จากราคาซื้อ เช่น การกำหนดว่า หากราคาหุ้นลดลง 10% จาก 100 บาท จะขายทันทีที่ราคา 90 บาท ถือว่าเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด โดยที่ไม่จำเป็นต้องดูกราฟเลย แต่มีข้อเสีย คือ การขาดทุนโดยไม่จำเป็น เนื่องจากหุ้นแต่ละตัวมีเปอร์เซ็นต์ความผันผวนที่แตกต่างกัน

- Trailing Stop

การกำหนดจุด Stop Loss เป็น X% จากราคาสูงสุด จะช่วยป้องกันการขาดทุนได้บ้าง แต่อาจได้กำไรน้อยลง เพราะจุด Stop Loss ที่กำหนดไว้จะมีการเลื่อนขึ้นสูงเรื่อย ๆ จนสูงกว่าราคาต้นทุน

- Indicator Stop

การกำหนดจุด Stop Loss จากการอ้างอิงของ Technical Indicator ทำให้มีผลของการขาดทุนที่ต่างกัน เช่น กำหนดไว้ว่า เมื่อราคาต่ำกว่าเส้น Moving Average ต่อเนื่องเป็นเวลา 10 วัน แล้วไม่มีการเด้งกลับ จะทำการขายทันที หรือจะใช้เส้นอื่น ๆ รวมถึง RSI มากำหนดร่วมด้วยก็ได้

- Chart Stop

การตั้ง Stop Loss ตามที่กราฟบอก จากการวิเคราะห์ Chart Pattern เพื่อดูจุดสูงสุดและต่ำสุดเดิม เพื่อกำหนดแนวรับ เป็นวิธีที่เหมาะกับผู้มีความรู้ด้าน Technical ในระดับหนึ่ง

- Time Stop

การกำหนดจุด Stop Loss โดยอิงจากระยะเวลาที่ต้องการถือหุ้น หากเกินระยะเวลาที่กำหนดไว้ ก็จะขายทันที เหมาะสำหรับการเล่นหุ้นระยะสั้น เพราะเป็นการป้องกันความเสี่ยงได้อย่างแน่นอน

-----------------------------------------------------------------------------------

รายละเอียดบริการดูแลการตลาดออนไลน์

>> https://www.chatstickmarket.com/langran

ตัวอย่าง ผลงานแบรนด์ต่างๆ ที่เราดูแลการตลาดออนไลน์ให้

>> https://www.chatstickmarket.com/portfolio

------------------------------------------------------------------------------------

💙ปรึกษาทีมงานของเรา💙

📱Tel : 0840104252 📱0947805680

สายด่วนออฟฟิศ : 034-900-165 , 02-297-0811 (จันทร์-ศุกร์)

📨 Inbox : http://m.me/ChatStick.TH

┏━━━━━━━━━┓

📲 LINE: @chatstick