การทำ Retargeting Ads เพื่อเพิ่มโอกาสในการซื้อซ้ำ

Retargeting Ads: กลยุทธ์เพิ่มยอดขายด้วยการตามติดลูกค้าที่หายไป

ในโลกของ E-commerce ที่มีการแข่งขันสูง การดึงให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำนับเป็นความท้าทายที่สำคัญของนักการตลาดออนไลน์ เพราะการได้ลูกค้าเก่ากลับมา มักมีต้นทุนที่ต่ำกว่าการหาลูกค้าใหม่ และมีแนวโน้มที่จะซื้อมากขึ้นในระยะยาว ซึ่งหนึ่งในกลยุทธ์ที่ได้ผลดีในการกระตุ้นให้เกิดการซื้อซ้ำก็คือ Retargeting Ads หรือการทำโฆษณาแบบตามติดกลุ่มเป้าหมายที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์มาแล้ว เพื่อย้ำเตือนและกระตุ้นให้กลับมาซื้อสินค้าอีกครั้ง

Retargeting Ads ทำงานโดยการติดตั้งโค้ด (Pixel) บนเว็บไซต์หรือแอปของแบรนด์ เพื่อเก็บข้อมูลผู้ใช้ที่เข้ามาเยี่ยมชมหรือทำกิจกรรมต่างๆ เช่น การดูสินค้า การใส่สินค้าในตะกร้า หรือการซื้อสินค้าจนเสร็จสมบูรณ์ จากนั้นจึงนำข้อมูลเหล่านี้ไปสร้างกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ (Custom Audience) บนแพลตฟอร์มโฆษณา เช่น Google Ads หรือ Facebook Ads เพื่อนำเสนอโฆษณาที่เกี่ยวข้องไปยังกลุ่มคนเหล่านี้โดยเฉพาะ ซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตราการคลิกและการแปลงเป็นลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับธุรกิจ SME ที่ต้องการใช้ Retargeting Ads ทีมงาน ChatStick มีเคล็ดลับดังนี้

1. กำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน: แบ่งกลุ่มผู้ใช้ตามพฤติกรรมที่แตกต่างกัน เช่น กลุ่มที่เข้าชมสินค้าอย่างเดียว กลุ่มที่ใส่สินค้าในตะกร้าแต่ไม่ได้ซื้อ และกลุ่มที่ซื้อไปแล้ว เพื่อปรับข้อความโฆษณาให้ตรงกับความต้องการมากที่สุด

2. สร้างข้อความโฆษณาที่น่าสนใจ: ใช้ข้อความที่กระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อ เช่น การใช้ข้อเสนอพิเศษ ส่วนลด หรือของแถม พร้อมมี Call-to-Action ที่ชัดเจน เพื่อดึงให้ผู้ชมกลับมาที่เว็บไซต์และซื้อสินค้าให้ได้

3. เลือกรูปแบบโฆษณาที่เหมาะสม: Retargeting Ads มีหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบนเนอร์ วิดีโอ หรือโฆษณาในรูปแบบ Native Ads ให้เลือกใช้ตามความเหมาะสมของแพลตฟอร์ม งบประมาณ และเนื้อหาที่ต้องการสื่อ

4. ปรับแต่งโฆษณาตามกลุ่มเป้าหมาย: ใช้ประโยชน์จากข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่ม เช่น ความสนใจ พฤติกรรมการซื้อ หรือสถานที่ เพื่อปรับแต่งเนื้อหาและรูปแบบโฆษณาให้ตรงใจและเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญได้

5. วัดผลและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง: ติดตามดูอัตราการคลิก อัตราการคอนเวอร์ชัน และ ROI ของแต่ละแคมเปญอย่างสม่ำเสมอ พร้อมทดลองปรับเปลี่ยนตัวแปรต่างๆ เพื่อหาสูตรลับที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด และมีต้นทุนต่อการแปลงเป็นลูกค้า (Cost per Conversion) ที่ต่ำที่สุด

การใช้ Retargeting Ads สามารถต่อยอดไปสู่การทำ Remarketing Email ได้อีกด้วย โดยการเก็บข้อมูลอีเมลของลูกค้าที่เคยซื้อสินค้าหรือลงทะเบียนกับแบรนด์ไว้ จากนั้นจึงส่งอีเมลตามไปกระตุ้นให้ซื้อซ้ำเป็นระยะๆ ซึ่งจะช่วยรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว และเพิ่มโอกาสในการสร้างยอดขายจากฐานลูกค้าเดิมให้มากขึ้น

นอกจากเพิ่มอัตราการซื้อซ้ำแล้ว Retargeting ยังช่วยสร้างการรับรู้ต่อแบรนด์ในระยะยาวอีกด้วย เพราะการได้เห็นโฆษณาของแบรนด์บ่อยๆ จะช่วยให้เกิดความคุ้นเคยและจดจำแบรนด์ได้ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อโอกาสในการซื้อสินค้าครั้งต่อๆ ไปในอนาคต

ทีมงาน ChatStick เชื่อว่าการตลาดแบบ Retargeting จะยังคงมีบทบาทสำคัญในการทำ Digital Marketing ต่อไป เพราะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีแนวโน้มจะซื้อซ้ำ โดยใช้ต้นทุนที่ต่ำกว่าการหาลูกค้าใหม่ ดังนั้นธุรกิจออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง E-commerce ไม่ควรมองข้ามเครื่องมือทรงพลังนี้อย่างเด็ดขาด

อย่างไรก็ตาม การทำ Retargeting ให้ได้ผลดีต้องมีความละเอียดอ่อนพอสมควร เพื่อไม่ให้ลูกค้ารู้สึกถูกรุกล้ำความเป็นส่วนตัวจนเกินไป หรือรำคาญที่เห็นโฆษณาของเราบ่อยเกินไป ต้องมีการกำหนด Cap ความถี่ในการโชว์โฆษณา รวมถึงต้องปรับข้อความและรูปแบบให้ตรงใจแต่ไม่จำเจจนเกินไปด้วย

สรุปแล้ว Retargeting Ads คือกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลที่น่าจับตามองในยุคนี้ ที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างการซื้อซ้ำจากลูกค้าเก่า ด้วยการนำข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานมากำหนดกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง และนำเสนอโฆษณาที่ตรงใจให้พวกเขาได้เห็นซ้ำๆ จนเกิดการตัดสินใจซื้อในที่สุด ซึ่งหากทำได้ดีจะช่วยให้ธุรกิจสามารถเพิ่มยอดขายและสร้างความภักดีของลูกค้าได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

#RetargetingAds #RemarketingStrategy #CustomerRetention #BrandAwareness #EcommerceMarketing #CostEffectiveMarketing #การตลาดแบบรีทาร์เก็ตติ้ง

#ChatStick #สติกเกอร์ไลน์ #สร้างแบรนด์ #รับวาดสติกเกอร์ #สติกเกอร์น่ารัก #รับวาดการ์ตูน #สติ๊กเกอร์แจกฟรี #EventSticker #สติ๊กเกอร์ประจำแบรนด์ #LINE #StickerLINE #รับออกแบบ #ดูแลเพจ #แจกสติกเกอร์ไลน์ #VDOMotion #ร้านค้าออนไลน์ #สร้างLINEOA